ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัดม่วงแค บางรัก ปากทางเข้าวัดม่วงแค ข้างไปรษณีย์กลาง บางรัก

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยย่านไปรษณีย์กลาง
ย่านไปรษณีย์กลางนี่ของอร่อยแยะเหมือนกันนะครับ
ใครมีโอกาสผ่านมาแถวๆนี้อย่าได้พลาดมาชิมของอร่อย
ทั้งข้าวหมกไก่ร้านจิ๋ว นิวเฮงกี่ บางรัก ข้าวต้มเป็ด และก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านนี้

ร้านนี้น้ำซุปหวานสไตล์น้ำต้มลูกชิ้นน่ะครับ
หอมกรุ่นกลิ่นเนื้อบางๆ

ลุยเลยครับ
เส้นหมี่ชิ้นสดเปื่อยน้ำและแห้ง
อย่างละชาม





เนื้อสดใช้ได้ครับ
ไม่เหนียว
เนื้อเปื่อยนุ่มแทรกด้วยเอ็นเคี้ยวอร่อยเพลินครับ
ซดตามด้วยน้ำซุปร้อนๆรสกลมกล่อมชื่นใจ
ผมไม่ปรุงน้ำซุปนะครับ
แต่จะปรุงน้ำจิ้มต่างหาก
ซดน้ำซุปอร่อยๆร้อนๆแล้วแสนจะชื่นใจ

แฮ้งค์ๆมานี่ชะงัดนัก
พวกน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวร้อนๆนี่

ต่อด้วยแบบแห้ง





ตบตูดด้วยชามะนาวเย็นๆเปรี้ยวๆ
แสนชื่นใจ
โฮกกกกกกกกกกก

บรรยากาศร้าน





อิ่มอร่อยสบายท้องราคาย่อมเยา

จอดรถได้ที่ไปรษณีย์กลางครับ

--- แผนที่ร้านครับ ---

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

เพ็ญจันทร์โภชนา ตลิ่งชัน ถนนชักพระ ตลิ่งชัน

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเชลล์ชวนชิมร้านดังย่านตลิ่งชัน
ได้ยินมาว่าหม่อมถนัดศรีชอบร้านนี้มาก
มากินเป็นประจำ

ร้านนี้รสชาติลูกครึ่งสไตล์ไฮบริด(อธิบายไงดี)
คือเป็นร้านน้ำซุปรสเนียนๆสไตล์จีน
แต่ดันปรุงรสเพิ่มแบบจำพวกก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด
เคยชิมแล้วเจอร้านรสชาติแบบนี้อีกร้าน
ก็ร้าน "ฮงไน้ ก๋วยเตี๋ยวชายคลอง" ที่พระประแดงจะรสประมาณนี้
แต่ร้านนี้น้ำซุปจะเนียนกว่า เนื้อดีกว่า



ร้านนี้ผมไปชิมครั้งแรกไม่ประทับใจ
สั่งเกาเหลามาทานแต่รู้สึกว่าเปรี้ยว
เนื่องด้วยคงเพราะคนปรุงใส่พริกน้ำส้มมากเกินไป
จนเสียรสชาติ

ผมคิดว่าอะไรเนี่ย
ร้านนี้เขาดังไม่ใช่เหรอ
ไม่น่าจะรสนี้นะ
เลยไม่กล้าเขียนถึงสักที
แต่ก็คิดว่าต้องขอลองไปชิม
น้ำซุปเพียวๆของเขาดูอีกสักที

มาพิสูจน์ใหม่อีกครั้ง
จึงบอกว่าไม่ต้องปรุง ไม่ใส่พริก
ชิมดูแล้วน้ำซุปรสดีทีเดียว
ออกสไตล์กลมกล่อม หอมเนื้อ
น้ำซุปร้อนซดชื่นใจ
ไปกินซ้ำอีกหลายครั้ง

ร้านนี้เนื้อดีครับ
เนื้อสดนุ่ม ละเอียด ลวกหวาน
เนื้อเปื่อยนุ่มและแน่นไม่แหลกเหลว
ใครชอบเนื้อเปื่อยสไตล์แน่นๆละก็ไม่ผิดหวังครับ



มาดูกันใกล้ๆ สูดกลิ่นน้ำซุปเนื้อด้วยกัน



นี่ละครับพริกน้ำส้มที่ว่า
ผมชอบคีบเนื้อมาจิ้มกินเองข้างนอก
แล้วซดน้ำซุปรสดั้งเดิมตามมากกว่า



แถมอีกรูป
รูปนี้อยากให้ดูเนื้อสด
เห็นแล้วรู้สึกถึงความนุ่มและหวานไหมครับ
พิมพ์ไปก็น้ำลายสอไป



ร้านนี้มีเนื้อให้เลือกกันหลากหลายเชียวครับ
อยากกินส่วนไหนก็บอกเขาไป มีหมด
เครื่องในก็ทำดีครับ สะอาด ไม่มีกลิ่นคาว
มาหลายคนก็ทานแบบหม้อไฟก็ได้อรรถรสดี

ก๋วยเตี๋ยว เกาเหลาก็ชามละหกสิบครับ
อร่อย แต่ไม่อิ่มครับ
ต้องเล่นสองชามถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยว
ถ้ากินเป็นเกาเหลาก็บริหารให้ดีๆ
จะกินข้าวได้สองถ้วย

บรรยากาศร้านครับ





การเดินทางก็ถ้ามาทางถนนบรมราชชนนี
ขับมาเรื่อยๆจนเจอ สน.ตลิ่งชันก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนชักพระ
ประมาณ ห้าร้อยเมตรจะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ
จอดรถข้างถนนนั่นแหละครับ

อย่าลืมนะครับ
อยากทานให้ได้รสชาติของร้านนี้จริงๆ
ต้องบอกว่าไม่ปรุง ไม่ใส่พริกน้ำส้ม
ถ้าชอบแบบก๋วยเตี๋ยวลูกครึ่งละก็ใช่เลยร้านนี้


--- แผนที่ร้านครับ ---

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง เฮียชัย (เจ้าเก่าข้างโบสถ์กาลหว่าร์ สี่พระยา) นราธิวาสราชนครินทร์ซอย 1

บะหมี่เกี๊ยวเจ้าเก่าจากซอยข้างเขตสัมพันธวงศ์
ใกล้โรงแรมริเวอร์ซิตี้
เมื่อก่อนทานประจำ
จู่ๆก็หายไปไม่บอกไม่กล่าว
เหลือแต่ซากบ้านเข้าใจว่าถูกเวนคืนไม่ก็ขายที่
หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอีกเลยร่วมสามสี่ปีนู่นกระมัง

พอได้ข่าวจากน้องชายว่า
ร้านนี้ย้ายมาอยู่แถวนราธิวาสซอย 1
ซึ่งไม่ไกลจากที่อยู่ประจำนักก็คิดว่าต้องหาโอกาสมากินอีกให้ได้
สบโอกาสเอาฟิล์มมาล้างที่ IQLAB
ช่วงนี้เป็นตัวกินฟิล์มอยู่ก็เลยถือโอกาส
เอาร้านนี้มาเล่ามาแนะนำให้ได้รู้จักกัน

ร้านที่ย้ายมาอยู่ใหม่นี้เป็นตึกแถวใหญ่โต
แต่ถ้าเข้าจากฝั่งถนนนราธิวาสก็เดินมาเกือบสุดซอย
ผ่านตลาดสด, บาร์อะโกโก้ผู้ชายซึ่งตอนกลางวันปิด
เดินไปเรื่อยๆจะเห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือ
เดี๋ยวนี้มีตราเปิบพิสดารแปะหน้าร้านด้วย
เข้าใจว่าซอยนี้เดินไปเรื่อยๆมันจะไปทะลุถนนสีลมและสุรวงศ์ได้
ข้างโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
แต่ไม่รู้ซอยไหนนะครับ

สำหรับร้านนี้ที่ผมรู้สึกจำได้และถวิลหาอยู่เรื่อยๆ
ก็จะเป็นหมูแดงที่มีกลิ่นหอมควันไฟ
เกี๊ยวกุ้งใส่เนื้อกุ้งกรอบๆสู้ฟัน
นอนห่ออยู่ในแป้งเกี๊ยวนุ่มๆลื่นๆ
และเส้นบะหมี่ทำเองเส้นเล็กเหนียวนุ่ม
เกี๊ยวไม่หนักเครื่องหมักแบบร้านสว่าง หัวลำโพง
คลุกน้ำมันกระเทียมเจียว
เติมรสเค็มนิดๆด้วยที่เขาโรยมาไม่รู้เรียกอะไร ตั้งฉ่ายมั้ง
อร่อยโดยไม่ต้องปรุง


สั่งมาประเดิมด้วยบะหมี่เกี๊ยวแห้ง





ต่อด้วยน้ำอีกชาม





น้ำซุปร้านนี้กลมกล่อม
แต่จะออกจืดหน่อยนะครับ
แต่ก็ร้อนๆซดโล่งคอดี
ใครชอบปรุงน้ำซุป ปรุงนิดหน่อยก็จะพอดี
ผมไม่ชอบปรุงล่ะครับ อยากได้รสที่เขาตั้งใจปรุงมา
ยกเว้นว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ

มาร้านนี้ผมแนะนำเซ็ตประหยัดให้ครับ
บะหมี่แห้งชามนึง + เกี๊ยวน้ำชามนึง อิ่มอร่อยกำลังดี

ถ้าไปวันธรรมดาสิบเอ็ดโมงนิดๆกำลังดี
หลังจากนั้นจะมีโทรศัพท์มาสั่งไม่ขาดสาย
จากออฟฟิศที่อยู่รายรอบ
จะทำให้รอนานหงุดหงิดเสียอารมณ์ได้

ร้านนี้รู้สึกจะขายถึงวันเสาร์หยุดวันอาทิตย์
ประมาณบ่ายสองบ่ายสามก็หมดเกลี้ยง

ลองมาชิมดูกันนะครับ

ที่จอดรถหายากนิดนึงครับ
แล้วแต่จังหวะ
ผมจอดรถข้างถนนนราธิวาสถ้าว่าง
ไม่งั้นก็วนขึ้นไปจอดตึกไอทีเอฟ

--- แผนที่ร้านครับ ---

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

ขาหมูหินดาด โคราช สาขาตลาดแค ถนนมิตรภาพหมายเลข2 ขาเข้า ช่วงขอนแก่น โคราช

เมื่อวันเสาร์ไปงานแต่งงานพรรคพวกที่บ้านไผ่ ขอนแก่นมา
ขากลับวันอาทิตย์(วันนี้)ได้มีโอกาสทดลองแวะชิม
ขาหมูตุ๋นยาจีนตำรับหินดาดของอร่อยอีกอย่างของเมืองโคราช
ที่เคยหมายตาไว้ครั้งลัดเลาะไปอุบลฯ
แม้จะคนละเส้นทางแต่ก็มีอีกสาขาที่ตลาดแค
มาเปิดดักไว้บนถนนมิตรภาพด้วย
ผ่านครั้งนี้เลยไม่พลาด
เปลี่ยนแผนจากที่ตั้งใจจะกลับมากินโชคชัยสเต็ก
กลายเป็นแวะกินขาหมูแทน

ผมไปกับพี่อีกคนซึ่งชอบชิมเหมือนกัน
การเดินทางครั้งนี้จึงเอ็นจอยเหลือหลาย



ผมสั่งแบบชุดเล็กมาราคา 80 บาท
มีเครื่องเคียงตามรูป
มีต้มซุปหมูมะระ หวานอร่อย ร้อนๆ
ไว้ซดล้างคอ

ขาหมูร้านนี้เป็นคนละแบบ
กับขาหมูนางรอง ที่บุรีรัมย์ซึ่งจะออกหวานนิดๆ
ร้านนี้รสชาติกลมกล่อม แต่เข้มข้น
รสออกเค็มนิดๆ ไม่หวาน
เนื้อนุ่ม เปื่อย ไม่แห้งสากเป็นเส้นๆ
เคี้ยวสบายเหงือกยิ่งนัก
เสียอย่างเดียวร้านนี้กลิ่นเครื่องเทศยังไม่หอมกรุ่นเท่าใดนัก
แต่รสชาติเข้มข้นอร่อยถูกปากผมเชียวล่ะ





ขาหมูจานเล็กนี้
เขาใส่มาครบเครื่อง
ทั้งหนัง เนื้อ และคากิ
กินกับข้าวสวยร้อนๆ(ร้านนี้ข้าวสวยดี อร่อย)
ราดน้ำขาหมู และน้ำจิ้มรสแซ่บ
แกล้มด้วยพริกขี้หนูสวนและกระเทียม
ซดน้ำซุปตาม โฮกกกกก
อร่อยเคลิบเคลิ้มซะจริงๆ



น้ำซุปมะระกระดูกหมู ตุ๋นจนเปื่อย



ลืมไปว่าสั่งต้มยำขาหมูมาซดแก้เลี่ยนด้วย
ปรุงรสได้เข้มข้นจัดจ้านสะใจแท้ๆ









ปิดท้ายด้วยเก็กฮวยเย็นๆ สบายอุรา



บรรยากาศร้านครับ





ถ้ามีโอกาสผ่านไปก็ลองแวะชิมดูนะครับ
ด้านหน้าร้านจะมีรูปปั้นหมูตัวใหญ่ๆอยู่ด้วย

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

"ต้อย" ก๋วยเตี๋ยวเรือวัดมะกอก ราชวิถี16 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

คิดถึงก๋วยเตี๋ยวเรือชามเล็กๆ
ที่เคยมานั่งแข่งกันกินเยอะ
แถวป้ายรถเมล์ริมคลองแสนแสบ
ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ
เมื่อก่อนเคยมาแข่งกันกินกับเพื่อน
ผมกินได้สิบชาม
เพื่อนเล่นไปเท่าไหร่ไม่รู้แต่มากกว่าสิบห้าชาม

แต่มันก็แพ้แตก!!!

เนื่องจากเดินออกจากร้านก็วิ่งเข้าโรบินสันแจ้นไปเข้าส้วมทันที
การแข่งขันครั้งนั้นถือเป็นโมฆะ
5555

ส่วนก๋วยเตี๋ยวเรือที่ว่านั้น
ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า
เนื่องจากเดี๋ยวนี้ไม่ได้นั่งรถเมล์ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยนานแล้ว
ปริมาณไม่เยอะหรอกครับ
คีบคำสองคำก็หมด
รู้สึกตอนนั้นจะชามละหกบาท อร่อยจริงๆ

เมื่อเดือนก่อนนึกถึงรสชาติที่ว่า
ก็เลยไปหาร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชิม
เขาว่าในวัดมะกอกอร่อย
ก็เลยขับรถเข้าไปตามหาดู

ร้านนี้อยู่ในซอยราชวิถี16
เข้าไปเรื่อยๆจะเจอร้านร่มรื่นใต้ร่มไม้อยู่ริมคลอง
ขายทั้งหมูทั้งเนื้อนะครับ
ใครไม่ทานเนื้อก็อร่อยได้เหมือนกัน

เริ่มด้วยเส้นหมี่ชิ้นสดเปื่อย



รสชาติเข้มข้นจัดจ้านสะใจ
ไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย
ใครปากบางคงลำบากหน่อย
แต่คอรสจัดจ้านคงถูกใจแน่นอน

ต่ออีกชามด้วยหมี่แห้งสดเปื่อย






ใส่ถั่วมาด้วยแปลกดี

และสุดท้ายรำลึกความหลังอีกหนึ่งชามด้วยเส้นเล็ก



เอาแคบหมูมาบีบๆ
แล้วใส่ลงไปคลุกให้มันดูดน้ำก๋วยเตี๋ยวเข้าไป
กินกรอบๆ
อร่อยเหลือหลายอย่างให้เซด
พิมพ์ไปก็น้ำลายซึมไป






ราคาก็ไม่แพงชามละสิบสองบาท
โอ้! แม่เจ้าถูกจริงๆ

คำเตือน!! ร้านนี้ไม่เหมาะกับคนลิ้นบางและธาตุเบา (^^

--- แผนที่ร้านครับ ---

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

ข้าวขาหมูตรอกซุง บางรัก ซอยเจริญเวียง ตรงข้ามโรบินสันบางรัก

ขุดของเก่ามาหากิน
ไม่ค่อยมีเวลาได้ไปเยือนที่ไหน
ร้านนี้เคยกินตามสาขาที่ไปเปิดตามในห้างสรรพสินค้าต่างๆ
แต่ก็นานมากแล้ว
สบโอกาสเลยขอไปชิมทบทวนรสชาติ
ที่ร้านต้นตำรับเสียหน่อย
จำได้ว่าเคยไปการันตีให้น้องชายว่าอร่อยนักอร่อยหนา
แต่นั่นก็เป็นรสชาติเมื่อนานมาแล้ว
เลยขอไปซ้ำอีกทีจะได้เอามาเล่าเอง

ออกตัวตามเคยว่า"ข้าวขาหมู"นี่
ไม่ใช่อาหารจานโปรดของผมนะครับ
นานๆจะทานทีเลยไม่ค่อยรู้จักร้านอร่อยๆเท่าไหร่
เวลานึกอยากกินพริกกินกระเทียม
ก็จะนึกถึงนี่ล่ะครับ"ข้าวขาหมู"

ร้านนี้หาไม่ยากครับ
วนรถไปจอดในห้างโรบินสันบางรัก
เสียค่าจอดชั่วโมงละยี่สิบบาท
จากนั้นก็เดินข้ามถนนมาเข้าตรอกเจริญเวียงตรงข้ามห้าง
เดินผ่านร้านเป็ดย่างนายสูงเข้าไป
ร้านเป็นตึกแถวอยู่ทางซ้ายมือนะครับ




ร้านนี้เซียนข้าวขาหมูเดนตาย
คงรู้จักกันดี
ไม่ต้องบรรยายกันมาก
เนื่องจากกิตติศัพท์ชื่อเสียงเขาก็มีอยู่มากมายอยู่แล้ว

วันที่ไปชิมผมไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษ
เขาเลยสับหมูมาให้ปนมาทั้งเนื้อและหนัง
รสชาติกลมกล่อม
ออกสไตล์เบาบาง
เนื้อหมูนุ่มๆสู้ฟัน ไม่แห้งเป็นเส้นๆ
หนังลื่นปรื้ดๆ
ราดน้ำพะโล้มาพอชุ่มๆ
รสชาติไม่เข้มข้นแบบที่ผมชอบ
ผมรู้สึกว่าอร่อย
แต่ก็แบบธรรมดาทั่วไป
ผักดองก็ออกจะจืดไปสักหน่อย
กินแนมกับพริกเม็ดโต
(ผมชอบพริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กๆเผ็ดสะใจกว่า)

กระเทียมจีนกลีบโตปอกเปลือก
(แน่ละ! ผมชอบกระเทียมไทยกลีบเล็กมากกว่า)



จิ้มกับน้ำจิ้มเปรี้ยวแก้เลี่ยน

สรุป ชอบเนื้อไม่ชอบน้ำ!
็อร่อยแบบทั่วไปไม่เข้มข้น
สำหรับตัวผมเอง
ไม่ประทับใจนัก



ขากลับเดินออกมาจึงเห็นว่า
ในซอยนี้ก็มีที่จอดรถเหมือนกัน
เสียค่าจอดยี่สิบบาทเท่าในห้าง
แต่ไม่ต้องข้ามถนนและวนรถ
ที่จอดรถขับเข้ามาจะอยู่ด้านซ้ายมือ
แถวๆร้านเป็ดย่างนายสูงล่ะครับ

ก็ลองชิมกันดูครับ

บรรยากาศร้าน



--- แผนที่ร้านครับ ---

--- ที่จอดรถ ---

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ"มิตรโภชนา" ท่าพระจันทร์



















บลอคนี้ผมเขียนเอาไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2551
ไม่น่าเชื่อว่าประเทศเราจะทะเลาะกันยาวนานขนาดนี้
นอกจากทะเลาะกันเองแล้วยังทะเลาะกะข้างบ้านอีกต่างหาก..

ผมคิดว่าคงอีกนาน เพราะเราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนผ่าน
ในช่วงชีวิตของผมคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างแน่ๆ
ลองดูบรรยากาศเมื่อสามปีที่แล้วดูครับ
---------------------------------------


มาเยือนถิ่นธรรมศาสตร์และการเมือง ย่านท่าพระจันทร์
ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองอันร้อนแรงในเดือนมิถุนายน
ความเห็นแตกต่างกันสุดขั้ว
ขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรง
เนื่องจากมีแต่คนชอบคิด
แต่ไม่มีคนชอบทำ
ดังนั้นแค่คิดก็ทะเลาะกันเสียแล้ว

อ่า..ชักยาวแค่นี้ก่อน ^^
เรื่องปากท้องของเราเอง
ประชาชนตาดำๆอย่างเราๆท่านๆ
ก็คงต้องดิ้นรนหากินกันต่อไป


ว่าแล้วก็เดินดุ่มๆ็หาปัจจัยสี่มาใส่ท้องกันดีกว่า
ของอร่อยๆคงพอพาให้ลืมโลกเบี้ยวๆไปได้ชั่วขณะ

ร้านนี้เคยไปชิมมานานแล้ว
จำได้ว่าอร่อย
แถมช่วงนั้นยังไปกินบ่อยเสียด้วย
เนื่องจากเคยไปอินเลิฟสาวธรรมศาสตร์คนดีแสนสวยและน่ารัก
ซึ่งตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว ฮือๆๆ
ช่วงนั้นเรียกว่าเดินทะลุท่าช้าง ยันท่าพระจันทร์จรดท่าพระอาทิตย์เป็นว่าเล่น
ร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในร้านในดวงใจ
ที่ทานแล้วประทับใจ คิดถึงและอยากไปซ้ำอีกเสมอ



ร้านนี้มีน้ำซุปที่ถูกปากผม
รสประมาณเดียวกับร้านโส่ย ถนนพระอาทิตย์
ซดแล้วมีรสอร่อยติดที่ปลายลิ้น
ไม่ใช่น้ำซุปประเภทอร่อยในปาก
ไหลลงคอแล้วก็แล้วกัน
น้ำซุปแบบที่ผมชอบนี่่ คือทานเข้าไปแล้ว
รสชาติมันก็ยังวนเวียนอยู่บนลิ้น อร่อยติดลิ้นว่างั้นเถอะ
อธิบายไม่ถูกต้องลองไปชิมกันดูครับว่าจะรู้สึกเหมือนกันไหม




ส่วนเนื้อสดและเนื้อเปื่อยก็อร่อยครับ
เนื้อสดนุ่มลวกดีไม่สุกเกิน
เนื้อเปื่อยก็อร่อยนุ่มใช้ได้ครับ

เอาแบบรวมๆเลยก็
ร้านนี้มีดีที่น้ำซุป หอมและรสดี
ถ้าชอบรสชาติแบบร้านโส่ยฯ
มาทานร้านนี้ก็น่าจะชอบด้วยนะครับ

กินตามสูตรไม่ปรุงน้ำซุป
ตักน้ำจิ้มใส่ถ้วยแยกมาจิ้มต่างหาก



ผมสังเกตว่าร้านที่น้ำซุปอร่อยๆ
เขาจะมีถ้วยใบเล็กๆมาให้
ใส่รวมอยู่ในกล่องตะเกียบนั่นแหละครับ
เจตนาเขาคงไม่อยากให้ปรุงน้ำซุปอร่อยๆของเขาจนเสียรส

ส่วนก๋วยเตี๋ยวแห้งจะไม่ใส่ซีอิ้วดำมาให้
แต่จะมีตั้งไว้บนโต๊ะให้เราราดเอง
เหมือนร้านลูกชิ้นเนื้อเท็กซัสที่เยาวราช
ถ้าจะลองกินแบบไม่ใส่ซีอิ๊วก็อร่อยไปอีกแบบ
มีรสชาติเหมือนกัน เหมือนว่าเขาจะใส่น้ำซุปมาด้วยนิดหน่อย
หรือไม่ก็ใส่ซีอิ๊วขาวมาแล้วนั่นแหละ ไม่จืดหรอกครับ
มีรสมีชาติ
ผมทานไปครึ่งชามแล้วค่อยมาราดซีอิ๊ว
อร่อยทั้งสองแบบ



ราคาก็ไม่แพงนะครับ
ก๋วยเตี๋ยวหรือเกาเหลา
ถ้าไม่เรื่องมากอยากกินเกินสามอย่างก็ราคา 40 บาท
เกินกว่านั้นก็ 50 บาท

ทานเสร็จเดินดูสาวๆธรรมศาสตร์ ศิลปากร
ย่อยเนื้อไปพลางๆก็ถือว่าคุ้มที่ถ่อมากินแล้วล่ะครับ (^^



ใครมีรถที่จอดรถแถวนี้ก็พอมีอยู่นะครับ
จอดที่ S&P มหาราช หรือในวัดมหาธาตุฯก็ได้ครับ
ถ้าจอดในวัดรู้สึกจะถูกกว่านะครับ

--- แผนที่ร้านครับ ---

--- ที่จอดรถ ---

ว่าด้วยเรื่องรีวิวอาหาร

กรุงเทพที่รักฯ

มเป็นคนต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามากรุงเทพ
ด้วยเหตุผลของเรื่องการทำมาหากิน

แรกเริ่มเดิมทีผมก็เบื่อกรุงเทพที่มันหมุนเร็วเหลือเกิน
ต่างจากชีวิตที่บ้านของผมที่ดูเหมือนโลกมันหมุนช้าดีเหลือเกิน
กลับไปครั้งใดความเปลี่ยนแปลงที่มี
ก็เหมือนว่ามันจะเล็กน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับเมืองหลวง

แต่ในความเบื่อนั้นวันหนึ่งผมกลับตกหลุมรักมันเข้าอย่างน่าประหลาด
กรุงเทพที่ใครๆเบื่อเรื่องรถติด อากาศเป็นพิษ ฯลฯ
ผมกลับหลงรักในความหลากหลายสับสนวุ่นวาย
ลองเดินช้าๆในเมืองกรุงก็พบความหลากหลายของชีวิตผู้คนที่มาแสวงหา"โอกาส"
มองเห็นการต่อสู้ดิ้นรนชีวิตของคน"กรุง"เทพ
เล่ามาตั้งนานนี่ไม่ใช่อะไร
อยากจะชวนดูหนังสั้นที่แต่ละเรื่องมีจุดร่วมเดียวกันคือกรุงเทพ

วันที่ 19 ก.ค.53 : มาหานคร กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
วันที่ 20 ก.ค 53 : ทัศนา กำกับโดย วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง
วันที่ 26 ก.ค. 53 : หลงแต่ไม่ลืม กำกับโดย ฤทัยวรรณ วงศ์สิรสวัสดิ์
วันที่ 27 ก.ค. 53 : Silence กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง
วันที่ 2 ส.ค. 53 : Bangkok Blue กำกับโดย อาทิตย์ อัสสรัตน์
วันที่ 3 ส.ค. 53 : เสนห์บางกอก กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว
วัน ที่ 9 ส.ค. 53 : พี่น้อง กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
วันที่ 10 ส.ค. 53 : กรุงเทพที่รัก กำกับโดย สันติ แต้พานิช
วันที่ 16 ส.ค. 53 : ผีมะขาม กำกับโดย คงเดช จาตุรนต์รัศมี

เชิญชมนะครับช่องทีวีไทยครับ


Baaria - La porta del vento ความทรงจำงดงามเสมอ

วามทรงจำในอดีตมีทั้งเจ็บปวดและหอมหวาน
แต่เราเลือกที่จะจำมันได้หรือเปล่า?
บางครั้งนั่งมองแผลเป็นที่มือก็นึกเจ็บแปลบขึ้นมา
แต่มันก็พาย้อนไปถึงอดีตอันแสนหอมหวาน
ที่รายรอบในเวลาที่คมมีดบาดได้อย่างไม่ยากนัก

เมื่อวานเป็นวันหยุดซึ่งนานๆผมจะได้หยุดกับเขาสักที
เลยถือโอกาสขอแว๊บไปดูหนังจากผู้กำกับอิตาลีคนโปรดอีกคน
Giuseppe Tornatore ที่ทำผมตกหลุมรักตั้งแต่ได้ชมผลงานการกำกับเรื่อง Cinema Paradiso

หนังของจูเซปเป้ชอบเล่าเรื่องราวผ่านชีวิตของคนๆหนึ่งอย่างยืดยาว
ประกอบกับภาพหนังที่สวยงามสีสันของเมดิเตอเรเนียนและดนตรีที่แสนอบอุ่น
และอารมณ์ขันแบบอิตาเลี่ยน






เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านชีวิตของคนบนเกาะซิซิลีครอบครัวหนึ่ง
จากต้นศตวรรษที่ 20 รุ่นสู่รุ่น ปู่ยันหลาน โดยมีแกนกลางของเรื่องคือเป็ปเป้
ความเป็นอยู่ ความเชื่อ ความรัก การเมือง ครอบครัว ชีวิตวัยเด็ก
สงคราม ฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ ลูกข่าง

ผมว่าผู้กำกับแกคงเป็นคนที่หลงไหลในภาพยนต์เป็นอย่างมาก
เรื่องนี้ก็มีฉากการฉายหนังแบบเก่าที่ต้องใช้มือหมุน
พร้อมกับพากษ์สดและเล่นดนตรีประกอบกันแบบสดๆด้วยเปียใน
น่ารักดี..ผมชอบ

แค่ฉากตอนเริ่มต้นเรื่องก็ทำเอาผมอมยิ้มได้แล้ว
เล่านิดนึงนะ
เป็นฉากแบบมีเด็กคนนึง วิ่งงงง วิ่งๆๆๆๆ ผ่านเมือง ตึกตั่กๆๆ
วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดนตรีก็โหมขึ้นเรื่อยๆ ตึกตั่กๆ
สักแปล้บนึงพ่อหนูน้อยก็ทะยานขึ้นบนฟ้าเหมือนเครื่องบินเทคออฟ
จนมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองเหมือนนกยังไงอย่างงั้น

แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไป :) น่ารักดีครับ

ผมนึกถึงวิธีเข้าเรื่องของฟอเรสต์กัมพ์
ที่เอาขนนกลอยไปลอยมาให้เห็นบรรยากาศรอบๆนั่นแหละครับ


สำหรับเรื่องย่อคงหาอ่านจากที่อื่นได้ไม่ยาก

ที่ผมอยากพูดถึงคือ
ความงดงามของหนัง ผมว่าหนังเรื่องนี้มีสีสันงดงามและอบอุ่นยังไงก็ไม่รู้
ความงดงามของชีวิต
และดนตรีประกอบที่แสนอบอุ่นของหนังเรื่องนี้

แน่นอนว่าชีวิตของเรามีทั้งสุขและทุกข์
แม้ว่าเราเลือกที่จะจำมันไม่ได้
แต่เราก็เลือกที่จะมองมันอย่างงดงามได้ไม่ใช่หรือ?

ถ้าคุณเคยชื่นชอบ cinema paradiso
ขอบอกว่าคุณคงไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้แน่ๆ