แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ people แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ people แสดงบทความทั้งหมด

นาธาน โอมาน "The Shattered Glass" ภาคภาษาไทย

นาธาน โอมาน

ผมเองไม่ค่อยคุ้นเคยนักกับนักร้องชื่อต่างประเทศคนนี้
ด้วยไม่ค่อยรู้จักกับเพลงวัยรุ่นเท่าไหร่
รู้จักตัวตนของเขาผ่านสื่อต่างๆทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์
ภาพพจน์ของเขาที่ผมรู้จักเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งนิสัยดี
พูดจาไพเราะ มีความสามารถพิเศษหลายด้าน
รักธรรมชาติและเด็กๆ ไม่ค่อยมีข่าวคาวๆมากนัก

เพิ่งมาสนใจข่าวคราวตอนหลังๆของเขาผ่านสื่อทางอินเตอร์เน้ต
เพราะว่าเขามาแถลงข่าวว่าไปเล่นหนังฮอลลีวูดกับผู้กำกับชื่อดัง
และมีดาราดังบรูซ วิลลิซร่วมแสดงด้วย น่าทึ่งจริงๆ

แต่แล้วในโลกไซเบอร์ก็ไม่มีความลับอีกต่อไป
จากความสงสัยใคร่รู้ของคนก็มีการสืบสาวราวเรื่อง
โดยมีต้นตอจากความสงสัยในกระทู้ของเว็บพันทิปนี่เอง
ก็เกิดนักสืบไซเบอร์ขึ้นมาตีแผ่ความจริงให้ได้อ่านกัน


เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นคงมีคำตอบอยู่ในใจกันแล้ว
เรื่องของคุณนาธาน ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง
ของคนที่โกหกแล้วหาทางลงไม่ได้
"The Shattered Glass"
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของสตีเฟ่น กลาส นักเขียนดาวรุ่งอายุน้อย
ของนิตยสาร เดอะรีพับลิค
ที่นั่งเทียนเขียนข่าวจากจินตนาการ จนมีชื่อเสียง
ข่าวที่เขาได้มามักจะมีลักษณะแหลมคม เจาะลึก ตบด้วยอารมณ์ขัน
คนในกองบรรณาธิการส่วนใหญ่ล้วนรักเขา เพราะนิสัยน่ารักของเขา
แน่นอนว่าข่าวดีดี ต้องมีคนถูกตำหนิว่าทำไมพลาดข่าวแบบนี้ไปได้

คนที่ถูกตำหนิก็ย่อมไม่พอใจว่าทำไมกูพลาดข่าวนี้ไป
ก็เลยไปสืบดูว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร
ทีนี้ก็เลยเจอเรื่องสนุกๆขึ้นมาทันที


Image


10 พฤษภาคม 1998 นิตยสารออนไลน์ ฟอร์บส์ ได้ลงบทความของ อาดัม เพเนนเบิร์ก

ว่าด้วยเรื่องของ สตีเฟ่น กลาส นักเขียนดาวรุ่งของนิตยสาร เดอะ นิว รีพับลิค

ที่นั่งเทียนเขียนบทความ “สวรรค์นักแฮค” (Hack Heaven) ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนเดียวกัน

“สวรรค์นักแฮค” เป็นเรื่องราวของ เอียน เรสติล อัจฉริยะคอมพิวเตอร์วัย 15 ปี

ฉายา “เจ้าหนูไบโอนิคส์” เขาเก่งกาจถึงขนาดสามารถเจาะฐานข้อมูลของบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่อย่างจูคท์ ไมโครนิคส์ได้

จูคท์คิดว่าคงไม่สามารถหยุดเด็กเซียนอย่างเรสติลได้ง่าย ๆ จึงตกลงว่าจ้างเขาเป็นที่ปรึกษา และนัดเจอกันในการประชุมแฮคเกอร์

ปรากฏว่าเรสติลเรียกร้องเงื่อนไขแปลก ๆ มากมายจากทางจูคท์ อาทิ รถสปอร์ต 1คัน ท่องดิสนีย์เวิร์ลด์ การ์ตูนเอ็กซ์เมนฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก สมาชิกเพลย์บอยและเพนท์เฮ้าส์ตลอดชีพ

ที่แปลกกว่าก็คือจูคท์ยอมทำตามเงื่อนไขทั้งหมดนั้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ 21 รัฐในอเมริกาออกบัญญัติความปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์ขึ้น เพื่อเอาผิดบริษัทและนักแฮคที่สมยอมกัน

แต่ความจริงก็คือ

นี่เป็นเพียงการโกหกคำโตของกลาส เด็กหนุ่มนามว่าเอียน เรสติลไม่มีตัวตน

ไม่มีบริษัทจูคท์ ไมโครนิคส์ ไม่มีการประชุมแฮคเกอร์

ไม่มีบัญญัติความปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์

และไม่มีแหล่งข่าวทั้งหลายแหล่ที่กลาสอ้างถึงในบทความแม้แต่รายเดียว ไม่ผิดจากที่เพเนนเบิร์กกล่าวว่า

“อย่างเดียวที่เป็นเรื่องจริงในบทความนี้คือ รัฐหนึ่งของอเมริกาที่ชื่อเนวาด้า

สิ่งที่ผมคิดถึงหนังเรื่องนี้เมื่อได้อ่านเรื่องราวของนาธานคือ
จินตนาการของคน และวิธีเอาตัวรอดเมื่อถูกจับโกหกได้

ทั้งกลาสและนาธานทำอย่างเดียวกันคือสร้างหลักฐานเท็จ
เรียกความสงสารและไม่ยอมรับความจริง

น่าสงสารที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
และแน่นอนว่าในเมื่อคนตามสืบกัดไม่ปล่อย

จุดจบเป็นอย่างไรคงไม่ต้องเดา...




-----------------------------------------

อ่านต่อ

บทสรุปของ "นาธาน โอมาน" บทเรียนครั้งสำคัญของวงการบันเทิงไทย

จาก "สมพงษ์ เลือดทหาร" สู่ "น้องอุ้ม เมืองคานส์" และ "นาธาน โอมาน"?

"Shattered Glass" Base on true story

เปิดตำนานสุดยอดแฮกเกอร์ระดับโลก

ตำนาน Balck-hat Hacker ระดับโลก
วง การคอมพิวเตอร์อยู่คู่โลกนี้มาประมาณ 50 กว่าปีแล้ว
มาลองดูกันว่าHackerระดับโลกเค้าเป็นใครกันบ้างและเดี๋ยวนี้เค้าเป็นยังไงกันบ้าง





Jonathan James




ตอนที่หมอนี่โดนจับ ทั่วทั้งอเมริกาแตกตื่น เพราะหมอนี่อายุเพียง 15ปีเท่านั้น(เวรตูยังดูช่องเก้าการ์ตูนอยู่เลย) Jonathan Jamesหรือชื่อรหัสในโลก Hacker ก็คือ c0mradeได้สร้างชื่อด้วยการเจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999หมอนี่ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปหน้าตาเฉยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 $

ปล. หมอนี่บอกกับศาลว่าเค้าอยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเชียวหรือ



Adrian Lamo




อีตานี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Hacker ที่แสบไม่แพ้กัน ซึ่งคนที่โดน Adrian Lamoเจาะเข้าไป ก็มีตั้งแต่ หนังสือพิมพ์ The New York Times , Microsoft ,Yahoo , Bank of America , CitiGroup และ Cingularซึ่งที่ๆสร้างชื่อเสียงที่สุดให้เขาก็คือ การที่เขาเจาะเข้าไปใน The NewYork Times และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ในแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือ พิมพ์ The New York Timesและใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexisในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย
หลังจากที่ใช้กรรม ไปมากมาย ตอนนี้ Adrian Lamo ทำงานเป็นนักข่าวและนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hackerและพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง




Kevin Mitnick




นี่คือชายที่ครั้งหนึ่ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเคยหมายหัวไว้ว่า“อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทางสหรัฐ ต้องการตัวมากที่สุด”เพราะเขาคือคนแรกที่ทำให้คำว่า Hacker โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ผลงานของ Mitnick อาจจะเก่าไปซักหน่อย เพราะพี่ท่านเล่น Hackมาตั้งแต่ช่วงปี 70’ กับผลงานการเจาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles BusSystem ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรีตั้งกะอายุ 12.เข้าไปป่วนระบบโทรศัพท์ทำให้โทรทางไกลได้ฟรีๆ จากนั้นก็ขโมยข้อมูลของบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง DEC (Digital EquipmentCorporation) ตามด้วยหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ โอ๊ยอีตานี่แสบๆๆ หลังจากที่ไปรับกรรมในคุกอยู่สองปีครึ่งตอนนี้เค้าก็กลายเป็น Hackerที่หลายๆบริษัทขอความช่วยเหลือในการตรวจสอบระบบครับ(และสำคัญมากเป็น เพราะอีตานี่เองที่ทำให้โลกเราได้รู้จัก White-Hat สาดเลือดเอเชียที่เก่งกาจ)




Kevin Poulsen





มีชื่อเรียกสวยเก๋ในวงการแฮกเกอร์ว่า Dark Dante, ผลงานเด่นๆของ KevinPoulsen ก็คือการที่เค้าเจาะระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LAทำให้เค้าได้รางวัลรถ Porsche มาครอง และที่เด่นๆ ก็คืออีตานี่แหย่หนวดเสือไป เจาะระบบฐานข้อมูลของ FBI ครับ และที่สำคัญก็คือระบบดักฟังของ FBI ครับ หลังจากที่ Kevin Poulsen โดนซิวไป 5 ปีตอนนี้เค้าก็กลายเป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆอีกมากมาย




Robert Tappan Morris




 เค้าคือลูกชายของอดีตเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ ของ NSA (National SecurityAgency) แท้ๆแต่ดันใช้ความรู้ในทางที่ผิดก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านไปทั่วเพราะหมอ นี่แหละครับคือคนแรกที่สร้าง Worm ขึ้นมาและทำให้ระบบเครือข่ายพังทลายไปหลายวันเลยทีเดียว ขณะที่ Morrisกำลังเรียนอยู่ที่ Cornell เค้าอยากรู้ว่าอินเทอร์เน็ตมันใหญ่ขนาดไหนเค้าก็เลยสร้างโปรแกรมที่มันจะ เจาะไปได้เรื่อยๆ ไปๆมาๆนั่นกลายเป็นเวิร์มตัวแรกของโลกที่ชื่อว่า MorrisWormหลังจากนั้นคอมพิวเตอร์กว่า 6,000เครื่องทั่วโลกก็เจ๊งยับเพราะเวิร์มของหมอนี่ พอโดนจับ Morris ก็โดนลงโทษจำคุก 3 ปีและโดนค่าปรับ10,500 เหรียญและ ทำงานช่วยเหลือสังคมอีก 400 ชม.(ลงโทษขนาดนี้แรงไปไหมพี่ เบากว่านี้ได้อีกนะ ) และหลังจากที่รับกรรมไปแล้ว ตอนนี้Robert Morris ก็เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ MIT ครับ

และมาต่อกันด้วย ตำนานฝั่งสีขาว White-Hat Hacker




Stephen Wozniak 




พูดถึง Apple Computer ใครๆก็อาจจะนึกถึง Steve Jobsชายหนุ่มหัวแอบล้านซึ่งหลายๆคนรอคอย KeyNote ของเค้าในงาน MacWorldConference ทุกปี แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วถ้า Apple Computerขาดเค้าคนนี้ไปล่ะก็ มันจะไม่มีวันนี้แน่นอน เพราะ Steve Wozniakคือผู้่ร่วมก่อตั้ง Apple Computer ครับ
การเป็น Hackerช่วงแรกของเค้าอยู่ที่เค้าได้ไปอ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ ในหนังสือ Esquire เข้าหลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBoxเครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้คุณสามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ (เอาเข้าไป)มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปาโดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissingerรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้นแสบจริงๆ
สำหรับ ช่วงแรกของการก่อตั้ง Apple Computer. Wozniakได้ขายเครื่องคิดเลขแสนแพงของเขา และ Jobs ได้ขายรถแวนของเขาเพื่อเป็นทุนในการก่อตั้ง Apple Computer ครับ และสุดทเครื่อง Apple Iก็วางตลาด และทั้งคู่ได้ขายเครื่องนี้ในราคาเครื่องละ 666.66$(เลขซาตานชัดๆ)




Tim Berners-Lee




ต้องขอบอกว่า ถ้าไม่มีอีตานี่โลกเราจะไม่มีคำว่า World Wide Web ครับเพราะเค้าคนนี้คือ คนที่ คิดค้น www ขึ้นบนโลก. Tim Berners-Leeเป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ ​Mary Berners-Leeซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก
ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็นFreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป)ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อมันผนวกเข้ากับ TCP และ DNSล่ะก็ มันจะเป็นความสุดยอดของ HyperText แน่นอนและหลังจากนั้นมันจึงกลายเป็น ​World Wide Web ครับ 
เมื่อปี 2548เขาได้รับรางวัล 1 ในร้อยบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อคนทั้งโลกมากที่สุด และในปี2550 Tim Berners-Lee ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายหน้าจากสมเด็จพระบรมราชินีเอลิซา เบทที่สอง เป็นการส่วนพระองค์ทำให้ตอนนี้เค้ากลายเป็น Sir Tim Berners-Lee ไปแล้วครับ
ผลงานการ Hackของ Tim Berners-Lee ไม่เป็นที่ปรากฏ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ทำให้เค้าโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัย Oxford ล่ะครับ ปล.เว็บไซต์แรกของโลกคือ
Welcome to info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee นี่แหละครับ




Linus Torvalds



บิดาผู้ให้กำเนิด Linux ระบบปฏิบัติการ Unixที่คนนิยมกันมากที่สุดในโลกขณะนี้ ในปี 1991ขณะที่เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เฮลซิงกิ เขาได้สร้าง linux kernelขึ้นจากพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Minix ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมสมัครพรรคพวกมาช่วยกันเขียนและช่วยกันพัฒนาต่อกันทาง อินเทอร์เน็ต โดยที่เขาเป็นคนรวบรวม ตรวจสอบและแจกจ่ายงานไปยังโปรแกรมเมอร์ต่างๆทั่วโลกรวมถึงแจกจ่ายให้คนช่วย กันเอาไปใช้ฟรีๆอีกด้วยจุดที่น่าสนใจของโครงการนี้ก็คือ ทุกคนที่มาร่วมทำนั้นทุกคนยินดีช่วยโดยไม่ได้ค่าตอบแทนแต่อย่างใด และมีเงื่อนไขต่อด้วยอีกว่าเมื่องานเสร็จแล้วจะต้องเผยแพร่ตัว Source Codeแก่สาธารณะโดยไม่คิดมูลค่าเช่นเดียวกันครับ
ทุกวันนี้ Linux Torvaldsทำงานอยู่ที่บริษัท Transmeta บริษัทที่ทำหน้าที่ออกแบบ CPUและยังคงดำรงตำแหน่ง ผู้นำของบรรดาผู้ใช้งานและพัฒนา Linux ทั้งโลกครับยิ่งไปกว่านั้น หนังสือ Times Magazine ได้ยกให้เค้าเป็นหนึ่งคนในหนังสือชื่อ 60 Years of Hero สุดยอดดดดดดด




Richard Stallman



ผู้ริเริ่มโครงการ GNU (อ่านว่า กนู นะครับ) และมูลนิธิซอฟท์แวร์เสรีรวมไปถึงผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่อง Copyleft (ฮ่า)และเป็นผู้ร่างสัญญาอนุญาติให้ใช้ได้ทั่วไป และต่อในภายหลังสัญญานี้ได้กลายเป็น บรรทัดฐานซอฟท์แวร์เสรีจำนวนมากความเป็นแฮกเกอร์ของเค้าโผล่มาตอนที่เค้าทำ งานอยู่ที่ MIT ในฐานะของ StaffComputer ทุกครั้งที่มีระบบอะไรใหม่ๆติดตั้งเข้าไปและมีรหัสผ่านกำกับอยู่Richard Stallman จะหาทางแฮกและปลดรหัสผ่านออกทุกครั้ง ยังครับยังไม่พอพอแฮกระบบเสร็จก็แฮก Printerต่อเพื่อพิมพ์ข้อความบอกชาวบ้านว่าระบบไหนอยู่ที่ไหนปลดรหัสผ่านอะไร ไปแล้วบ้าง แสบจริงๆ




Tsutomu Shimomura




สุดยอด White-Hat สายเลือดเอเชีย Tsutomu Shimomuraได้รับชื่อเสียงอย่างโด่งดัง ในฐานะที่ร่วมมือกับ John Markoffในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลกในยุคนั้น นั่นก็คือ KevinMitnick นั่นเอง 
Tsutumu ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่ SDSC (San DiegoSupercomputer Center) ซึ่งจริงๆแล้วก็โดนอีตา Kevinเข้ามาแฮกเอาโปรแกรมและเมล์สำคัญๆไป ดังนั้นด้วยคาวมแค้นเขาจึงร่วมมือกับFBI ไล่จับ Kevin Mitnick ซึ่งต่อมาเมื่อเขาจับได้เขาก็เลยเขียนหนังสือชื่อ Takedown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ KevinMitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย


โซโล : สุดยอดแฮกเกอร์แห่งโลกอินเทอร์เน็ต





มติชน

ข่าวคราวด้านความมั่นคงของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตพักนี้ไม่มีเรื่องไหนใหญ่โตเท่าเรื่องการจับกุม แกรี แม็คคินนอน หนุ่มสก๊อตวัย 39 ปี เจ้าของฉายา "โซโล" ในวงการแฮ็กเกอร์

เจ้าหน้าที่ตำรวจสกอตแลนยาร์ด จับตัวเขาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา และส่งตัวขึ้นศาลเพื่อพิจารณาว่า ควรส่งตัว "โซโล" ให้สหรัฐอเมริกาไปดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่

ทางการสหรัฐอเมริกาต้องการตัว แม็คคินนอน ไปเพราะระหว่างปี 2544-2545 ที่ผ่านมา แม็คคินนอน แฮ็กเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์เกือบ 100 เครือข่าย ทั้งที่เป็นขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และ กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ถูกอัยการอเมริกันขนานนามไว้ว่าเป็น "การแฮ็กคอมพิวเตอร์ทหารครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์"

โซโล ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปขโมยโค้ด ข้อมูล และสายการบังคับบัญชา ลบไฟล์ระบบที่มีความจำเป็นต่อการรักษาระบบ ก๊อบปี้ยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ด และยังติดตั้ง โทรจัน โปรแกรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากก่อนที่จะหลบออกมาแต่ไม่ลืมลบยูสเซอร์ แอคเคาต์จำนวน 1,300 รายการทิ้งเสียด้วย

เจ้าหน้าที่อเมริกันอ้างด้วยว่า เขาแฮ็กเข้าไปใน เครือข่ายของ เอิร์ล นาวอล วีพพอน สเตชั่น เน็ตเวิร์ก หรือเครือข่ายสถานีอาวุธนาวีเอิร์ล ของกองทัพเรือ 2-3 วันหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11


แง่มุมที่น่าสนใจจากกรณีของ "โซโล" ก็คือ แม้ว่า ทางการอเมริกันจะอ้างว่าการแฮ็กของโซโลสร้างความเสียหายให้กับระบบรวมถึงค่าซ่อมแซมระบบสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 40 ล้านบาท) แต่ก็ยอมรับเช่นเดียวกันว่า ไม่มีการรั่วไหลของข้อมูลลับลำคัญๆที่ดาวน์โหลดลงมารั่วไหลไปถึงมือผู้อื่น

นั่นเป็นเพราะ แม็คคินนอน ไม่ได้ทำมันเพราะต้องการเงิน เขาเพียงแค่อยากรู้ว่า จริงๆแล้วกองทัพอเมริกันเก็บงำข้อมูลเกี่ยวกับ "ยูเอฟโอ" ไว้หรือเปล่าเท่านั้นเอง



เป็นการแฮ็กสนุกๆ ของคนอยากรู้อยากเห็น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออนไลน์เชื่อกันว่ากำลังจะหมดไป และจะกลายเป็นการทำเพื่อเงินและการฉ้อโกงผู้อื่นที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดอยู่ในขณะนี้

แมทธิว บีแวน แฮ็กเกอร์ชาวอังกฤษอีกรายซึ่งเคยถูกจับเพราะแอบแฮ็กเข้าไปในระบบของนาซ่าและกองทัพอากาศมาแล้วและเคยถูกทางการอเมริกันตราหน้าว่าเป็น "ภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดของโลกนับตั้งแต่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" มาแล้ว บอกว่า สหรัฐอเมริกาต้องการใช้การฟ้องร้องแม็คคินนอนให้เป็นเสมือน "การเชือดไก่ให้ลิงดู" เท่านั้นเอง



บีแวนบอกว่า ที่น่าหัวเราะก็คือ ระบบคอมพิวเตอร์ของกองทัพอเมริกันนั้น ไม่เพียงแต่ตกเป็นเป้าการแฮ็กของแฮ็กเกอร์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ ยังเป็นระบบที่เจาะเข้าไปง่ายยิ่งกว่าระบบของมหาวิทยาลัยเสียอีก (เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ ระบบออนไลน์ของมหาวิทยาลัยนั้นถูกนักศึกษา "ร้อนวิชา" ลองของแอบแฮ็กอยู่เสมอนั่นเอง)

บีแวน ซึ่งตอนนี้ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านไอที บอกว่า แม็คคินนอน จึงเป็นเพียงแค่ "แพะ" ตัวหนึ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งที่เป็นอันตรายจริงๆ นั้นเป็นผลงานของ องค์กรอาชญากรรม ที่นับวันจะทันสมัยและมีมากมายมากขึ้นทุกที



เขายกตัวอย่างอย่างเช่น ภัยคุกคามล่าสุดที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็คือ "Pharming" (ฟาร์มมิ่ง) ที่มีต้นตอมาจาก เอสโทเนีย พบครั้งแรกเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา และกลายเป็นภัยคุกคามต่อระบบธนาคารออนไลน์ที่น่ากลัวที่สุด

ฟาร์มมิ่ง เป็นวิธีการฉ้อฉลคล้ายๆ กับ ฟิชชิ่ง (Phishing) ซึ่งระบาดหนักเมื่อปีที่แล้วต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ เพียงแต่แนบเนียนกว่าและไฮเทคกว่า ฟิชชชิ่งนั้นเป็นการส่งอี-เมลหลอกมาให้เราหลงคลิกเข้าไปในเว็บไซต์หลอกที่ทำปลอมขึ้นเป็นเว็บของสถาบันการเงินชื่อดังที่เราใช้บริการอยู่แล้วเปิดเผยข้อมูลอาทิ หมายเลขบัตรเครดิตหรือหมายเลขบัญชี เพื่อนำไปใช้ถอนเงินเราเกลี้ยงเกลาในภายหลัง



ฟาร์มมิ่ง เป็นการใช้ โปรแกรมโทรจัน ไวรัส ที่อาจจะแอบเขียนมากับอี-เมล หรือติดมากับไฟล์ที่เราดาวน์โหลดลงมาจากอินเตอร์เน็ต เมื่อเราพยายามติดต่อธนาคารของเราออนไลน์ โทรจัน ที่ว่านี้จะเปลี่ยนการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ที่ทำเทียมเลียนแบบขึ้นเพื่อหลอกเอาหมายเลขบัญชี หมายเลขบัตรเครดิต ฯลฯ

เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารในประเทศอังกฤษเจอเรื่องทำนองนี้เข้าไปเสียหายคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 12 ล้านปอนด์ หรือ ราว 900 ล้านบาทเลยทีเดียว



นอกจากนั้นยังมีการใช้การข่มขู่โดยตรง เหมือนอย่างเช่นที่ เว็บไซต์บ่อนพนันชื่อดังอย่าง วิลเลียม ฮิลส์ เคยเจอมาแล้วว่าถ้าไม่จ่ายเงิน 50,000 ดอลลาร์จะถูกส่ง อี-เมลถล่มเว็บจนใช้งานไม่ได้ หรือการใช้โปรแกรมจับความเคลื่อนไหวของ คีย์บอร์ดที่เรียกว่า คีย์ล็อกกิ้ง โปรแกรม มาสอดแนมคอมพิวเตอร์ของเราเพื่อดักจับพาสเวิร์ดหรือข้อมูลบัตรเครดิต เรื่อยไปจนกระทั่งถึงความพยายามที่จะ "ปล้น" เงินโอนออนไลน์จำนวน 220 ล้านปอนด์ (ราว 16,500 ล้านบาท) ของธนาคารซูมิโตโม่ ของญี่ปุ่น ก็น่าตื่นตระหนกพอๆ กัน

ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้บรรดาแก๊งอาชญากรในยุโรปตะวันออก เริ่มว่าจ้างพวกเซียนคอมพิวเตอร์ทั้งหลายให้ทำงานสกปรกให้แล้วละครับ!!