แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ movies แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ movies แสดงบทความทั้งหมด

กรุงเทพที่รักฯ

มเป็นคนต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามากรุงเทพ
ด้วยเหตุผลของเรื่องการทำมาหากิน

แรกเริ่มเดิมทีผมก็เบื่อกรุงเทพที่มันหมุนเร็วเหลือเกิน
ต่างจากชีวิตที่บ้านของผมที่ดูเหมือนโลกมันหมุนช้าดีเหลือเกิน
กลับไปครั้งใดความเปลี่ยนแปลงที่มี
ก็เหมือนว่ามันจะเล็กน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับเมืองหลวง

แต่ในความเบื่อนั้นวันหนึ่งผมกลับตกหลุมรักมันเข้าอย่างน่าประหลาด
กรุงเทพที่ใครๆเบื่อเรื่องรถติด อากาศเป็นพิษ ฯลฯ
ผมกลับหลงรักในความหลากหลายสับสนวุ่นวาย
ลองเดินช้าๆในเมืองกรุงก็พบความหลากหลายของชีวิตผู้คนที่มาแสวงหา"โอกาส"
มองเห็นการต่อสู้ดิ้นรนชีวิตของคน"กรุง"เทพ
เล่ามาตั้งนานนี่ไม่ใช่อะไร
อยากจะชวนดูหนังสั้นที่แต่ละเรื่องมีจุดร่วมเดียวกันคือกรุงเทพ

วันที่ 19 ก.ค.53 : มาหานคร กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
วันที่ 20 ก.ค 53 : ทัศนา กำกับโดย วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง
วันที่ 26 ก.ค. 53 : หลงแต่ไม่ลืม กำกับโดย ฤทัยวรรณ วงศ์สิรสวัสดิ์
วันที่ 27 ก.ค. 53 : Silence กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง
วันที่ 2 ส.ค. 53 : Bangkok Blue กำกับโดย อาทิตย์ อัสสรัตน์
วันที่ 3 ส.ค. 53 : เสนห์บางกอก กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว
วัน ที่ 9 ส.ค. 53 : พี่น้อง กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
วันที่ 10 ส.ค. 53 : กรุงเทพที่รัก กำกับโดย สันติ แต้พานิช
วันที่ 16 ส.ค. 53 : ผีมะขาม กำกับโดย คงเดช จาตุรนต์รัศมี

เชิญชมนะครับช่องทีวีไทยครับ


Baaria - La porta del vento ความทรงจำงดงามเสมอ

วามทรงจำในอดีตมีทั้งเจ็บปวดและหอมหวาน
แต่เราเลือกที่จะจำมันได้หรือเปล่า?
บางครั้งนั่งมองแผลเป็นที่มือก็นึกเจ็บแปลบขึ้นมา
แต่มันก็พาย้อนไปถึงอดีตอันแสนหอมหวาน
ที่รายรอบในเวลาที่คมมีดบาดได้อย่างไม่ยากนัก

เมื่อวานเป็นวันหยุดซึ่งนานๆผมจะได้หยุดกับเขาสักที
เลยถือโอกาสขอแว๊บไปดูหนังจากผู้กำกับอิตาลีคนโปรดอีกคน
Giuseppe Tornatore ที่ทำผมตกหลุมรักตั้งแต่ได้ชมผลงานการกำกับเรื่อง Cinema Paradiso

หนังของจูเซปเป้ชอบเล่าเรื่องราวผ่านชีวิตของคนๆหนึ่งอย่างยืดยาว
ประกอบกับภาพหนังที่สวยงามสีสันของเมดิเตอเรเนียนและดนตรีที่แสนอบอุ่น
และอารมณ์ขันแบบอิตาเลี่ยน






เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านชีวิตของคนบนเกาะซิซิลีครอบครัวหนึ่ง
จากต้นศตวรรษที่ 20 รุ่นสู่รุ่น ปู่ยันหลาน โดยมีแกนกลางของเรื่องคือเป็ปเป้
ความเป็นอยู่ ความเชื่อ ความรัก การเมือง ครอบครัว ชีวิตวัยเด็ก
สงคราม ฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ ลูกข่าง

ผมว่าผู้กำกับแกคงเป็นคนที่หลงไหลในภาพยนต์เป็นอย่างมาก
เรื่องนี้ก็มีฉากการฉายหนังแบบเก่าที่ต้องใช้มือหมุน
พร้อมกับพากษ์สดและเล่นดนตรีประกอบกันแบบสดๆด้วยเปียใน
น่ารักดี..ผมชอบ

แค่ฉากตอนเริ่มต้นเรื่องก็ทำเอาผมอมยิ้มได้แล้ว
เล่านิดนึงนะ
เป็นฉากแบบมีเด็กคนนึง วิ่งงงง วิ่งๆๆๆๆ ผ่านเมือง ตึกตั่กๆๆ
วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดนตรีก็โหมขึ้นเรื่อยๆ ตึกตั่กๆ
สักแปล้บนึงพ่อหนูน้อยก็ทะยานขึ้นบนฟ้าเหมือนเครื่องบินเทคออฟ
จนมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองเหมือนนกยังไงอย่างงั้น

แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไป :) น่ารักดีครับ

ผมนึกถึงวิธีเข้าเรื่องของฟอเรสต์กัมพ์
ที่เอาขนนกลอยไปลอยมาให้เห็นบรรยากาศรอบๆนั่นแหละครับ


สำหรับเรื่องย่อคงหาอ่านจากที่อื่นได้ไม่ยาก

ที่ผมอยากพูดถึงคือ
ความงดงามของหนัง ผมว่าหนังเรื่องนี้มีสีสันงดงามและอบอุ่นยังไงก็ไม่รู้
ความงดงามของชีวิต
และดนตรีประกอบที่แสนอบอุ่นของหนังเรื่องนี้

แน่นอนว่าชีวิตของเรามีทั้งสุขและทุกข์
แม้ว่าเราเลือกที่จะจำมันไม่ได้
แต่เราก็เลือกที่จะมองมันอย่างงดงามได้ไม่ใช่หรือ?

ถ้าคุณเคยชื่นชอบ cinema paradiso
ขอบอกว่าคุณคงไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้แน่ๆ


กรุงเทพที่รักฯ

มเป็นคนต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามากรุงเทพ< br>ด้วยเหตุผลของเรื่องการทำมาหากิน

แรกเริ่มเดิมที ผมก็เบื่อกรุงเทพที่มันหมุนเร็วเหลือเกิน
ต่างจากชีวิตที่บ้านของ ผมที่ดูเหมือนโลกมันหมุนช้าดีเหลือเกิน
กลับไปครั้งใดความเปลี่ยน แปลงที่มี
ก็เหมือนว่ามันจะเล็กน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับ เมืองหลวง

แต่ในความเบื่อนั้นวันหนึ่งผมกลับตกหลุมรัก มันเข้าอย่างน่าประหลาด
กรุงเทพที่ใครๆเบื่อเรื่องรถติด อากาศเป็นพิษ ฯลฯ
ผมกลับหลงรักในความหลากหลายสับสนวุ่นวาย
ลองเดินช้าๆ ในเมืองกรุงก็พบความหลากหลายของชีวิตผู้คนที่มาแสวงหา"โอกาส"
มอง เห็นการต่อสู้ดิ้นรนชีวิตของคน"กรุง"เทพ
เล่ามาตั้งนานนี่ไม่ใช่ อะไร
อยากจะชวนดูหนังสั้นที่แต่ละเรื่องมีจุดร่วมเดียวกันคือ กรุงเทพ

วันที่ 19 ก.ค.53 : มาหานคร กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
วันที่ 20 ก.ค 53 : ทัศนา กำกับโดย วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง
วันที่ 26 ก.ค. 53 : หลงแต่ไม่ลืม กำกับโดย ฤทัยวรรณ วงศ์สิรสวัสดิ์
วันที่ 27 ก.ค. 53 : Silence กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง
วันที่ 2 ส.ค. 53 : Bangkok Blue กำกับโดย อาทิตย์ อัสสรัตน์
วันที่ 3 ส.ค. 53 : เสนห์บางกอก กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว
วัน ที่ 9 ส.ค. 53 : พี่น้อง กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
วันที่ 10 ส.ค. 53 : กรุงเทพที่รัก กำกับโดย สันติ แต้พานิช
วันที่ 16 ส.ค. 53 : ผีมะขาม กำกับโดย คงเดช จาตุรนต์รัศมี

เชิญชมนะครับช่องทีวีไทย ครับ


Baaria - La porta del vento ความทรงจำงดงามเสมอ

วามทรงจำในอดีตมีทั้งเจ็บปวดและหอมหวาน
แต่เรา เลือกที่จะจำมันได้หรือเปล่า?
บางครั้งนั่งมองแผลเป็นที่มือก็นึกเจ็บ แปลบขึ้นมา
แต่มันก็พาย้อนไปถึงอดีตอันแสนหอมหวาน
ที่รายรอบในเวลาที่ คมมีดบาดได้อย่างไม่ยากนัก

เมื่อวานเป็นวันหยุดซึ่งนานๆผมจะได้หยุด กับเขาสักที
เลยถือโอกาสขอแว๊บไปดูหนังจากผู้กำกับอิตาลีคนโปรดอีกคน
Giuseppe Tornatore ที่ทำผมตกหลุมรักตั้งแต่ได้ชมผลงานการกำกับเรื่อง Cinema Paradiso

หนังของจูเซปเป้ชอบเล่าเรื่องราวผ่านชีวิตของคนๆหนึ่งอย่าง ยืดยาว
ประกอบกับภาพหนังที่สวยงามสีสันของเมดิเตอเรเนียนและดนตรีที่ แสนอบอุ่น
และอารมณ์ขันแบบอิตาเลี่ยน







รื่องนี้เล่าเรื่องผ่านชีวิตของคนบนเกาะซิซิลีครอบ ครัวหนึ่ง
จากต้นศตวรรษที่ 20 รุ่นสู่รุ่น ปู่ยันหลาน โดยมีแกนกลางของเรื่องคือเป็ปเป้
ความเป็นอยู่ ความเชื่อ ความรัก การเมือง ครอบครัว ชีวิตวัยเด็ก
สงคราม ฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ ลูกข่าง

ผม ว่าผู้กำกับแกคงเป็นคนที่หลงไหลในภาพยนต์เป็นอย่างมาก
เรื่องนี้ก็มีฉาก การฉายหนังแบบเก่าที่ต้องใช้มือหมุน
พร้อมกับพากษ์สดและเล่นดนตรีประกอบ กันแบบสดๆด้วยเปียใน
น่ารักดี..ผมชอบ

แค่ฉากตอนเริ่มต้นเรื่องก็ ทำเอาผมอมยิ้มได้แล้ว
เล่านิดนึงนะ
เป็นฉากแบบมีเด็กคนนึง วิ่งงงง วิ่งๆๆๆๆ ผ่านเมือง ตึกตั่กๆๆ
วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดนตรีก็โหมขึ้นเรื่อยๆ ตึกตั่กๆ
สักแปล้บนึงพ่อหนูน้อยก็ทะยานขึ้นบนฟ้า เหมือนเครื่องบินเทคออฟ
จนมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองเหมือนนกยังไงอย่าง งั้น

แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไป :) น่ารักดีครับ

ผมนึกถึงวิธี เข้าเรื่องของฟอเรสต์กัมพ์
ที่เอาขนนกลอยไปลอยมาให้เห็นบรรยากาศรอบๆนั่น แหละครับ


สำหรับเรื่องย่อคงหาอ่านจากที่อื่นได้ไม่ยาก

ที่ ผมอยากพูดถึงคือ
ความงดงามของหนัง ผมว่าหนังเรื่องนี้มีสีสันงดงามและอบอุ่นยังไงก็ไม่รู้
ความงดงามของ ชีวิต
และดนตรีประกอบที่แสนอบอุ่นของหนังเรื่องนี้

แน่นอนว่า ชีวิตของเรามีทั้งสุขและทุกข์
แม้ว่าเราเลือกที่จะจำมันไม่ได้
แต่เรา ก็เลือกที่จะมองมันอย่างงดงามได้ไม่ใช่หรือ?

ถ้าคุณเคยชื่นชอบ cinema paradiso
ขอบอกว่าคุณคงไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้แน่ๆ

ฝัน โคตร โคตร : คม น่ารัก และ ลายเซ็นต์ยิ่งชัดเจน


นังเรื่องถัดมาของ "พิง ลำพระเพลิง" ผู้ำกำกับและนักเขียนบท
ที่มักจะนำเอาชีวิตจริงของตนสอดแทรกเข้าไป ในหนังด้วย
จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่
จะดูหนังพี่พิง ต้องลบอคติออกไปให้หมด
ถ้ามีอคติแล้วจะคอยจับผิดอยู่ตลอดเวลาว่า หนังมันไม่น่าเชื่อ

แต่สำหรับแฟนๆหนังและแฟนตัวหนังสือ ของพิง
คงรู้อยู่แล้วว่าคาแรกเตอร์ของพิงเป็นยังไง
บท ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่พี่พิงเขียน
จะหน้าตาคล้ายๆแบบนี้ทั้งนั้น
คือจะมีประโยคคำพูดคมๆสอดแทรกใส่ในปากของตัวละคร
ทั้ง ที่บางทีดูแล้วก็

"เฮ้ย! ตัวนี้ทำไมมันพูดได้ขนาดนี้วะ"

คือมันไม่น่าเชื่อแต่มัน คม
เหมือนกับแกอยากจะพูดกับคนดูอย่างนี้
แต่หาจังหวะใส่ เข้าไปในปากตัวละครไม่ได้
เลยจับยัดเอาซะดื้อๆ 55
เอาแบบความชอบส่วนตัวของผมนะ
ถ้าเป็นผมจะทำเป็นวอยซ์ โอเวอร์ดีกว่า

บทหนังของพี่พิงมักจะชอบหลอกเล่นกับคนดู
มักจะไม่บอกอะไรตรงๆ 1 2 3
แต่ชอบให้คนดูคิดเอาเองว่ามันใช่หรือเปล่านะที่เราคิด
ความสนุกของหนังพี่พิงคือตรงนี้

ผมเชื่อว่าแน่นอนว่า ต้องมีคนงง
เพราะหนึ่งในคนงงนั้นก็คือผม
แต่ไอ้ความงง นั้นมันทำให้ผมอยากดูอีกรอบ
หรือแม้แต่เพียงเดินออกมาครุ่นคิดอยู่ คนเดียวว่า
คำตอบคืออะไร

ผมเชื่อว่าต้องมีคน หมั่นไส้และอิจฉาอีตาพิง
ว่าเฮ้ย ทำไมนางเอกน่ารักขนาดนี้จะมารักคนอย่างเอ็งได้ไง
ถ้าคิดถึงความ เป็นจริงแล้วมันก็น่าจะใช่
แต่ถ้าลองไปดูจนจบแล้วช่วยผมคิดหน่อยสิ ครับ
ว่าใครเหมาะที่จะมารับบทในเรื่องนี้แทน :)


หลังจากได้ดูเรื่องนี้แล้ว
ก็ ยิ่งรู้สึกว่าลายเซ็นต์ของพี่พิงยิ่งชัดเจนขึ้นทุกวัน
ถ้าใครชอบ หนังแบบนี้ก็คงมีแกนี่แหละที่ทำได้ถูกใจ
แต่ถ้าใครไม่ชอบแบบนี้ อยู่แล้ว
หนังเรื่องนี้ก็น่าจะไม่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปจาก เดิมได้เลยครับ :)

ปล. นางเอกน่ารักมวากกกก


Inglourious Basterds - สะใจคนยิวเขาละ


Inglorious Basterds - The Green Leaves Of Summer - Nick Perito

นังของทาเรนติโน่เรื่องนี้โหดสะใจคอซาดิสม์
เรื่องราวของหนังเกิดขึ้นช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง

สงครามสุดคลาสสิคที่มีผู้คนระลึกถึงอยู่เสมอ
ทั้งในแง่ของยุทธการรบที่วางแผนหักกันไปมา จารชน
ความโหดเหี้ยมของมนุษย์ อาวุธใหม่ๆ ระเบิดปรมาณู

และฉากที่หนังอเมริกันมักหยิบมาพูดถึงบ่อยๆคือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
แต่กลับลืมภาพอันโหดร้ายที่ตนทิ้งระเบิดนอกแนวรบใส่ชาวบ้่านญี่ปุ่นและชาวเวียดนาม(ใช่มะ)

จะว่าไปสงครามก็มีแต่ความเลวร้ายทั้งสิ้น
เพื่อการเอาชนะ และการมีชีวิตรอด ทุกๆคนทุกๆชาติล้วนมีเหตุผล
แต่ทั้งหมดทั้งปวงมันก็มาจากความโลภและอำนาจทั้งสิ้น

ผมชอบดูหนังสงครามไม่ใช่เพราะนิยมชมชอบเห็นคนฆ่ากันแต่อย่างใด
แต่หนังสงครามดีๆมักเปิดเผยให้เห็นสภาพสุดขั้วของมนุษย์
เพื่ออำนาจและการมีชีวิตอยู่ ความรัก ฯลฯ

เข้าเรื่องหนังดีกว่า
หนังเรื่องนี้มีเพลงเท่ห์ๆประกอบตามสไตล์ทาเรนติโน่
ใครเคยดู Pulp Fiction คงจะคุ้นกับสำเนียงและมุมกล้องของเขา
เรื่องดำเนินเป็น Episode เหมือนกัน
แต่ไม่ลำดับเรื่องหวือหวาแบบเดิม เข้าใจง่าย

"The Basterds" คือกลุ่มทหารอเมริกัน-ยิวที่เคียดแค้น
พวกนาซีเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบไร้เหตุผลของฮิตเลอร์
ไม่มีคำว่าเชลยศึกสำหรับพวกเขา
"ฆ่าถลกหนังหัว"เท่านั้นคือคำตอบ
มึงเกลียดกู กูก็เกลียดมึง อะไรอย่างงั้น

วันหนึ่งของสงคราม เมื่อเหตุการณ์ประจวบเหมาะ
พวกเขาคิดวางแผนจะฆ่าฮิตเลอร์
เพราะถ้าไม่มีเจ้านี่สักคนสงครามบ้าๆนี่คงจะจบลง
พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่
ต้องตามไปดูในหนัง






เรื่องนี้ไม่รู้ทาเรนติโน่ทำหนังเอาใจนายทุนชาวยิวรึเปล่า
เพราะโหดสะใจชาวยิวดีเหลือเกิน
เยอรมันนาซีในเรื่องนี้ก็เลวไม่มีดี
โหดเหี้ยม เลวได้สะใจ เห็นแต่ด้านมืดของนาซี
คนที่แสดงเป็นนายพันนาซี Christoph Waltz ก็แสดงได้ดีมาก
แววตาแสดงให้เห็นความเลือดเย็นภายใต้รอยยิ้มรื่นเริง

รุปเลยดีกว่า
เล่ามากเดี๋ยวเผลอ spoil หนัง
น่าดูครับ
นักแสดงส่วนใหญ่แสดงได้ดี
แบรดพิตต์ไม่เด่นเลยสำหรับผม
เรื่อยๆไม่มีเขาก็ได้ในเรื่องนี้
ผมชอบนางเอกและผู้พันนาซีที่สุด
หนัง +18 โหด ลุ้นระทึก
ไอ้ตัวที่คิดว่าน่าจะรอดมันก็ไม่รอด ที่คิดว่าไม่รอดมันก็รอด
ไม่เหมือนสูตรสำเร็จก็แล้วกัน
ไม่มีฉากบีบอารมณ์ซึ้ง(สำหรับผม)
และที่สำคัญสะใจคนเกลียดนาซีเป็นอย่างยิ่ง

คนที่มีใจเป็นกลางๆไม่สมควรดูครับ :)
ดูแล้วก็เกลียดสงครามเหมือนเดิม
ไม่รู้มันจะแย่งกันไปทำไมอำนาจเนี่ย

บ้านเราจะมีสงครามกลางเมืองหรือเปล่าก็ไม่รู้
คิดแล้วก็เบื่อ
ไปดูหนังระบายอารมณ์โกรธดีกว่า -*-


Orphan เด็กนรก!


นังเรื่องนี้ก่อนซื้อตั๋วเข้าไปดูก็เตรียมใจไว้แล้ว
ว่านังเด็กนี่แสบแน่ๆ ตัวโกงแหงๆประมาณนั้น

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะแค่อ่านเรื่องย่อหรือดูโปสเตอร์หนังคงพอเดาได้ว่าใครแสบ
ประเด็นที่ทำให้หนังน่าติดตามคือ

ทำไม? ทำไมเธอถึงเป็นอย่างนั้น?

เธอทำอย่างนั้นทำไม?

ใครจะไปคิดว่าเด็กน่ารักๆอย่างนั้นจะหลอนได้ขนาดนี้

ดูหนังตัวอย่างแล้วคิดถึงเรื่อง Hide and Seek ที่ดาโกต้า แฟนนิ่งเล่นคู่กับโรเบิร์ต เดอเนโร

ผมดูแล้วชอบนะครับ สนุกตื่นเต้น มีประเด็นชวนให้ติดตาม

ใครชอบหนังแนวนี้ไม่น่าพลาดนะครับ :)










นาธาน โอมาน "The Shattered Glass" ภาคภาษาไทย

นาธาน โอมาน

ผมเองไม่ค่อยคุ้นเคยนักกับนักร้องชื่อต่างประเทศคนนี้
ด้วยไม่ค่อยรู้จักกับเพลงวัยรุ่นเท่าไหร่
รู้จักตัวตนของเขาผ่านสื่อต่างๆทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์
ภาพพจน์ของเขาที่ผมรู้จักเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งนิสัยดี
พูดจาไพเราะ มีความสามารถพิเศษหลายด้าน
รักธรรมชาติและเด็กๆ ไม่ค่อยมีข่าวคาวๆมากนัก

เพิ่งมาสนใจข่าวคราวตอนหลังๆของเขาผ่านสื่อทางอินเตอร์เน้ต
เพราะว่าเขามาแถลงข่าวว่าไปเล่นหนังฮอลลีวูดกับผู้กำกับชื่อดัง
และมีดาราดังบรูซ วิลลิซร่วมแสดงด้วย น่าทึ่งจริงๆ

แต่แล้วในโลกไซเบอร์ก็ไม่มีความลับอีกต่อไป
จากความสงสัยใคร่รู้ของคนก็มีการสืบสาวราวเรื่อง
โดยมีต้นตอจากความสงสัยในกระทู้ของเว็บพันทิปนี่เอง
ก็เกิดนักสืบไซเบอร์ขึ้นมาตีแผ่ความจริงให้ได้อ่านกัน


เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นคงมีคำตอบอยู่ในใจกันแล้ว
เรื่องของคุณนาธาน ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง
ของคนที่โกหกแล้วหาทางลงไม่ได้
"The Shattered Glass"
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของสตีเฟ่น กลาส นักเขียนดาวรุ่งอายุน้อย
ของนิตยสาร เดอะรีพับลิค
ที่นั่งเทียนเขียนข่าวจากจินตนาการ จนมีชื่อเสียง
ข่าวที่เขาได้มามักจะมีลักษณะแหลมคม เจาะลึก ตบด้วยอารมณ์ขัน
คนในกองบรรณาธิการส่วนใหญ่ล้วนรักเขา เพราะนิสัยน่ารักของเขา
แน่นอนว่าข่าวดีดี ต้องมีคนถูกตำหนิว่าทำไมพลาดข่าวแบบนี้ไปได้

คนที่ถูกตำหนิก็ย่อมไม่พอใจว่าทำไมกูพลาดข่าวนี้ไป
ก็เลยไปสืบดูว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร
ทีนี้ก็เลยเจอเรื่องสนุกๆขึ้นมาทันที


Image


10 พฤษภาคม 1998 นิตยสารออนไลน์ ฟอร์บส์ ได้ลงบทความของ อาดัม เพเนนเบิร์ก

ว่าด้วยเรื่องของ สตีเฟ่น กลาส นักเขียนดาวรุ่งของนิตยสาร เดอะ นิว รีพับลิค

ที่นั่งเทียนเขียนบทความ “สวรรค์นักแฮค” (Hack Heaven) ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนเดียวกัน

“สวรรค์นักแฮค” เป็นเรื่องราวของ เอียน เรสติล อัจฉริยะคอมพิวเตอร์วัย 15 ปี

ฉายา “เจ้าหนูไบโอนิคส์” เขาเก่งกาจถึงขนาดสามารถเจาะฐานข้อมูลของบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่อย่างจูคท์ ไมโครนิคส์ได้

จูคท์คิดว่าคงไม่สามารถหยุดเด็กเซียนอย่างเรสติลได้ง่าย ๆ จึงตกลงว่าจ้างเขาเป็นที่ปรึกษา และนัดเจอกันในการประชุมแฮคเกอร์

ปรากฏว่าเรสติลเรียกร้องเงื่อนไขแปลก ๆ มากมายจากทางจูคท์ อาทิ รถสปอร์ต 1คัน ท่องดิสนีย์เวิร์ลด์ การ์ตูนเอ็กซ์เมนฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก สมาชิกเพลย์บอยและเพนท์เฮ้าส์ตลอดชีพ

ที่แปลกกว่าก็คือจูคท์ยอมทำตามเงื่อนไขทั้งหมดนั้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ 21 รัฐในอเมริกาออกบัญญัติความปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์ขึ้น เพื่อเอาผิดบริษัทและนักแฮคที่สมยอมกัน

แต่ความจริงก็คือ

นี่เป็นเพียงการโกหกคำโตของกลาส เด็กหนุ่มนามว่าเอียน เรสติลไม่มีตัวตน

ไม่มีบริษัทจูคท์ ไมโครนิคส์ ไม่มีการประชุมแฮคเกอร์

ไม่มีบัญญัติความปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์

และไม่มีแหล่งข่าวทั้งหลายแหล่ที่กลาสอ้างถึงในบทความแม้แต่รายเดียว ไม่ผิดจากที่เพเนนเบิร์กกล่าวว่า

“อย่างเดียวที่เป็นเรื่องจริงในบทความนี้คือ รัฐหนึ่งของอเมริกาที่ชื่อเนวาด้า

สิ่งที่ผมคิดถึงหนังเรื่องนี้เมื่อได้อ่านเรื่องราวของนาธานคือ
จินตนาการของคน และวิธีเอาตัวรอดเมื่อถูกจับโกหกได้

ทั้งกลาสและนาธานทำอย่างเดียวกันคือสร้างหลักฐานเท็จ
เรียกความสงสารและไม่ยอมรับความจริง

น่าสงสารที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
และแน่นอนว่าในเมื่อคนตามสืบกัดไม่ปล่อย

จุดจบเป็นอย่างไรคงไม่ต้องเดา...




-----------------------------------------

อ่านต่อ

บทสรุปของ "นาธาน โอมาน" บทเรียนครั้งสำคัญของวงการบันเทิงไทย

จาก "สมพงษ์ เลือดทหาร" สู่ "น้องอุ้ม เมืองคานส์" และ "นาธาน โอมาน"?

"Shattered Glass" Base on true story

Por Una Cabeza - Carlos Gardel


เพลง Tango สุดคลาสสิค ไพเราะรื่นหู
ที่เราได้ยินบ่อยๆในหนังโดยเฉพาะฉากเต้นรำ
ที่จดจำได้แน่ๆก็จากเรื่อง
Schindler 's List , Scent of woman และ True Lies
ผมได้ยินก็จากในภาพยนตร์นี่แหละ
และก็ติดอกติดใจแต่ก็ไม่รู้ว่าคือเพลงอะไร
จนวันนึงนึกถึงเนื่องจากเปิดยูบีซีดู
ได้ยินจากในหนังเรื่อง All the King's Men
ที่ ฌอน เพนน์เล่นเป็นนักการเมือง
เลยลองมาเสิร์ชหาดู
ชอบเสียงไวโอลิน ที่เล่นหยอกล้อกับเชลโล่

เย้ายวนใจดีครับ

ข้างล่างนี่เป็นฉากจากเรื่อง
Scent of woman ที่ปาชิโน่ตาบอดแต่เต้นแทงโก้ได้จับใจ




สำหรับบทความข้างล่างนี่เก็บมาฝากครับ

"Por Una Cabeza เป็นภาษาสเปน แปลว่า By a hand of horse
Carlos Gardel เขียนขึ้นในปี 1935 ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา
ขณะที่เพลงได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
บทเพลงนี้กล่าวถึงนักพนันม้าแข่งคนหนึ่ง
ที่เปรียบการหลงใหลในการพนันม้าแข่งของเขา
กับความหลงใหลในเสนห์ของหญิงสาว
บทเพลงนี้เป็นที่รู้จักดีในรูปแบบของเพลงบรรเลง
โดยมี Violin นำเสนอท่วงทำนองหลักและ Cello
นำเสนอในรูปแบบของจังหวะ Tango
เย้ายวนด้วยเสียง Violin ที่ประสานกันอย่างลงตัว
ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล"

จาก รุ้งทอแสง

Wonderful Town : เสน่ห์ตะกั่วป่า


หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองในปีนี้
ต่อจาก Across the universe
ที่ผมอุตส่าห์ดั้นด้นไปดูถึงในโรง

ปกติผมแฟนหนังแผ่นครับ
แต่เรื่องนี้รู้สึกว่ามันคงหาดูยาก
และมีโลเกชั่นกับเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ
เลยตามไปดูตามคำแนะนำของคุณโอม

ตอนแรกเห็นว่าเมื่อคืนเป็นวันสุดท้ายก็เลยแจ้นไปดู
กลับบ้านแล้วแท้ๆ ยังอุตส่าห์ขับรถออกมาอีก

เนื้อเรื่องคร่าวๆก็เป็นเรื่องความรัก
ของสถาปนิคหนุ่ม เงียบๆ จากกรุงเทพ
เดินทางมาตะกั่วป่าเพื่อมาคุมงานโรงแรมที่เขาหลัก
ที่พังพินาศจากเหตุซึนามิ
แล้วก็มาพักที่โรงแรมในตัวเมืองตะกั่วป่า
ที่ดูเก่าแก่ ร่มครึ้ม และเงียบสงบ
โอบล้อมด้วยภูเขาและทะเล

ความรักเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบๆ
ในเมืองเงียบๆ
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบๆ
ที่เคยคึกคักแล้วก็เงียบหลายไป
หลายครั้งหลายครา
ทั้งช่วงเหมืองบูม
ช่วงท่องเที่ยวบูม
ถ้าเมืองตะกั่วป่ามีหัวใจ
สภาพจิตใจของเมืองคงขึ้นๆลงๆเหมือนกราฟ sine

แน่นอนว่าคนที่หนีมาจากเมืองหลวง
มาอยู่ที่สงบๆแบบนี้
คงต้องอยากหลบหนีอะไรมาจากบรรยากาศเดิมๆ
อยากอยู่เงียบๆไม่วุ่นวาย
ในเมืองที่เงียบสงบ

ปมจะคลี่คลายไปในทางใด
ก็คงอยากให้ไปลองดูกันเอง
พล็อตอาจไม่โดดเด่นนักตามความรู้สึกของผม
พอจะคาดเดาได้

แต่สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือ
อารมณ์ของหนัง ภาพ บรรยากาศ และเพลงประกอบ
ที่ดูไม่ยัดเยียดเกินไป
อธิบายความงามได้ตามสภาพที่มันมีอยู่จริง (กำกับภาพเก่งมาก)
ไม่ประดิดประดอยเสริมแบบฮอลลีวูด








อารมณ์ดูหนังเรื่องนี้เหมือนนั่งอ่านหนังสือสักเล่มนึง

ได้มีเวลาคิดตาม
ไม่เหมือนนั่งดูโทรทัศน์ในปัจจุบันที่คอยยัดเยียดอารมณ์ความรู้สึกของผู้ทำมากเกินไป

อย่างน้อยก็มีช่องว่างให้คิดตาม

บางคนอาจไม่ชอบหนังลักษณะนี้
อาจดูเนือย ตัดไม่กระชับฉับไวเหมือนสไตล์ฮอลลีวูด
บทพูดอาจไม่มากนัก
แต่ถ้าชอบดูหนังแล้วคิดตาม ว่าตัวละครคิดอะไรอยู่
เรื่องนี้คุณจะได้ซึมซับอะไรบางอย่างมาได้พอสมควรทีเดียว

ผมเดินขึ้นรถพร้อมขับกลับบ้านเงียบๆ
ครุ่นคำนึงถึงบรรยากาศและภาพในหัวของตัวเอง
ถ้าเปลี่ยนโลเกชั่นมาทำหนังที่บ้านเกิดสุโขทัยบ้าง
จะเอาที่ไหนดี (^^

ลองไปดูกันนะครับ